ผมอยากบอกทุกคนว่านี่คือบล็อกแรก และ ครั้งแรกที่เขียน เพื่อที่อยากจะบันทึกความทรงจำของผมเอาไว้ที่บล็อกนี้ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ประเด็นคือ วันหยุดยาวที่ผ่านมา ก็คือระหว่างวันที่ 27 – 29 กรกฎาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่ทุกคนนั้น เตรียมตัวที่จะไปเที่ยวพักผ่อน ผมก็ได้เตรียมไว้เช่นกัน ก็คือเกาะกูด
ก่อนที่จะออกเดินทาง เนื่องจากผมเป็นคนไม่ค่อยวางแผน ทำให้การจองที่พักล่วงหน้าของผมนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ชอบจองใกล้ๆ ก็เลยเกือบจะอดไป เพราะที่พักแทบจะทุกที่บนเกาะกูดนั้นเต็มหมดแล้ว
โอเค การเดินทางไปเกาะกูดนั้น เราต้องเดินทางไปจังหวัดตราดก่อน และข้ามเรือไป ที่เกาะกูด โดย จังหวัดตราดกับกรุงเทพใช้ระยะเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
โดยผมเลือกที่จะไปพักที่จังหวัดชลบุรี บางแสน ก่อน เพราะผมมีคอนโดอยู่ที่นั้น และ ออกเดินทางในคืนวันที่ 26 เพื่อที่จะได้ลดระยะเวลาการเดินทาง ก่อนไปถึงจังหวัดตราด โดยไม่ต้องรีบตื่นเช้าในวันที่ 27 และ รถติด
แต่สิ่งที่ผมคิดนั้นผิด ทุกๆ คนต่างขับรถออกไปในวันที่ 26 กันหมดเลย และ ไปนอนจังหวัดตราด เลยด้วย จะได้ขึ้นเรือข้ามไปเกาะกูดกันตอนเช้า จะได้มีเวลาเที่ยวกันเยอะ ๆ
โอเคกลับมาที่ตัวผม หลังจากตื่นอย่างสบายๆ ในวันที่ 27 ที่จังหวัดชลบุรี บางแสน ก็ได้ออกเดินทางไปที่จังหวัด ตราด เลยทันที ก็ฮึบๆๆ ไปจนถึง “บุญศิริ” บุญศิริ ก็คือที่ที่ผม ใช้บริการเรือเพื่อที่จะข้ามไปเกาะกูด โดยขับรถมาจอดที่นี่ มีค่าบริการ 50 บาท ต่อ หนึ่งคืน
ตอนเดินทางมาผมได้ จองเวลาเรือออกไว้ ประมาณ 13.30 น. ของวันที่ 27 และก็มาถึงที่นี่ก่อนเวลาประมาณชั่วโมงนึง เกือบจะไม่มีที่จอดรถ เพราะรถค่อนข้างเยอะ
โดยถ้าใครหิว ที่บุญศิริ ก็มี ขนมนมเนยให้บริการรวมถึงอาหารตามสั่งมากมาย
รสชาติของอาหารก็อร่อยเลยทีเดียว สามารถฝากท้องไว้ได้เลยครับ โดยผมได้ลองผัดกะเพราหมู และ กะเพรากุ้งสด
โอเคหลังจากเราอิ่มท้องกันแล้ว ก็เตรียมพร้อมที่จะไปขึ้นเรือ โดยเวลา 13.30 ก็มีรถจากบุญศิริมารับพอดีเด๊ะ
หลังจากเราขึ้นรถแล้ว ก็นั่งไปท่าเรือ “แหลมศอก” จาก บุญศิริ ไปท่าเรือแหลมศอกนั้นใช้เวลาไม่นานเลยประมาณ 5 – 10 นาทีเท่านั้น พอเราถึงท่าเรือแล้ว เค้าก็จะให้เรามาหลบแดดรอเรือมารับ ระหว่างรอเราก็สามารถที่จะถ่ายรูป เล่นกับบรรยากาศสวยๆ ได้
และแล้วเรือก็กำลังดิ่งมาหาเราแล้ววว เห็นไหมมครับบ ลำนั้นน
พอมาถึง ก็รอสักพักก่อนก็ได้ครับเพราะ คนกำลังขึ้นเรือไปเยอะมาก ยังไงก็รอได้มีที่นั่งแน่นอนเพราะจองตั๋วไว้แล้ว
โดยเรือของบุญศิรินั้นจะแบ่งออกเป็นสองชั้น โดยสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบเลย แต่แนะนำว่า ถ้าใครเป็นคนเมาเรือง่ายๆ ไม่ควรจะนั่งชั้น 2 เพราะว่ามัน แกว่งไปแกว่งมามาก แบบขั้นสุด โดยขาไปนี้ผมนั่งชั้น 2 และก็หลับยาวๆ
โดยการนั่งเรือข้ามไปเกาะกูดใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ครึ่ง กว่าๆ โดยเรือบุญศิริจะพาเราไปส่ง เกาะกูด ณ อ่าวสลัด พูดง่ายๆ เหนือสุดของเกาะกูดเลย
เมื่อลงจากเรือแล้ว เดินขึ้นมา เรื่อยๆ อีกหน่อยก็จะเจอ ป้ายๆ ใหญ่ๆ เลยว่า
พอเห็นป้ายนี้ ทุกๆคนก็จะเห็น ว่ามีรถสองแถว จอดอยู่มากมายเลย รถสองแถวที่เห็นนั้น เป็นรถสองแถวของโรงแรมที่เราจองเอาไว้ เค้าจะจอดมารอรับเราไปโรงแรม โดยเราต้องดูดีๆว่ารถคันไหนเป็นของเค้า โดย พนักงานที่ขับรถจะคอยยืนตะโกนบอกอยู่ว่า ให้เราไปขึ้นคันไหน
โดย ผมได้จองโรงแรมที่ชื่อว่า “อ่าวพร้าว บีช รีสอร์ท” ซึ่ง ก็มีสองแถวมารอรับเช่นกัน โดยอ่าวพร้าวบีชรีสอร์ท มาด้วยรถสองแถว 2 คัน ทะเบียนจะเป็นสีเหลือง “Thailand 10-2028” และ “Thailand 10-2029” โดยรถสองคันนี้
โดยมีคันนึง ขับตรงไปยัง อ่าวพร้าว บีช รีสอร์ท เลย และอีกคัน ต้องไป ส่งที่รีสอร์ท อื่นๆ ก่อนอีก 2 ถึง 3 ที่ ถ้าอยากไปที่ อ่าวพร้าว บีช รีสอร์ท ตรงๆ เลยก็ต้องลองถามพนักงานขับรถว่าคันไหนไปตรง จะได้ไม่เสียเวลา ต้องไป รีสอร์ท อื่น
โดยระหว่างทางไป อ่าวพร้าว บีช รีสอร์ท นั้น โคตรไกลเลย 555 เพราะว่า “อ่าวสลัด” คือ เหนือสุดของเกาะ ส่วน “อ่าวพร้าว” เนี่ย ใต้สุดของเกาะ เพราะฉะนั้น ระหว่างทางแทบจะได้เห็นเส้นทาง ระหว่างเกาะ หมดเลย
ผ่านไปประมาณ เกือบ ชั่วโมง หลังจากแวะส่งนักท่องเที่ยว ที่ รีสอร์ท อื่นๆ ก็มาถึงงง อ่าวพร้าว บีช รีสอร์ท แล้วว
เมื่อมาถึงก็รีบไปเช็คอินก่อนเลย ตอนทำการเช็คอิน แนะนำว่าให้จองรถมอไซค์ไว้เลย เพราะเราจะใช้มันในการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วเกาะกูด ถ้าไม่จองเอาไว้ก่อน อาจจะเต็มได้
และเมื่อเต็มก็ต้องเดินออกจากรีสอร์ทอีกสักพักเลย กว่าจะถึงร้านเช่ามอไซต์ ที่อยู่ข้างนอกรีสอร์ท โดยราคามอไซต์ ที่เช่า ณ อ่าวพร้าว บีช รีสอร์ท นั้น อยู่ที่ วันละ 300 บาท แบบเต็มวัน และ 250 บาท แบบ ครึ่งวัน
มาชมบรรยากาศที่พักกันบ้างดีกว่า ว่าเป็นยังไงบ้าง โดยที่พักที่ผมเลือกนั้น เป็นลักษณะแบบบ้านหนึ่งหลัง อยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก
หลังจากวางของบนในที่พักเสร็จแล้วเราก็ เดินออกไปบริเวณชายหาดหน้าที่พัก ไปดูว่ามีมุมถ่ายรูปตรงไหนอะไรยังไงบ้าง
และรู้สึกโกรธตัวเองมากที่ไม่ค่อยได้ถ่ายวิวที่พักมามากกว่านี้ เพราะหิว กว่าจะมาถึงแล้วก็ หิวมากก็เลย เดินมาดูแว็บๆ และก็ไปทานข้าวในร้านอาหารของรีสอร์ท
โดยอาหารที่สั่งมากินนั้น ก็ประกอบไปด้วย ต้มยำกุ้ง ไก่ผัดกระเทียม ยำวุ้นเส้น ข้าวราคาก็ไม่ได้แพงเลยครับ แถมอร่อย และ ได้เยอะมาก จนกินไม่หมดเลย
หลังจากนอนพักมาอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะตระเวนออกไป เที่ยวให้ทั่วเกาะ โดยผมมีเวลาวันเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะกลับ ดังนั้นผมจึงตื่นเช้าและใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด
เริ่มต้นของวันที่ 28 ด้วยการรับประทานอาหารเช้าของรีสอร์ท ที่เป็นลักษณะแบบ Buffet ซึ่งในแต่ละวันจะมีเมนูนึงเปลี่ยนไปตลอด มีทั้งข้าวต้ม ข้าวสวย อาหารเช้าแบบอเมริกัน Breakfast
หลังจากที่อิ่มสุด เราก็พร้อมที่จะเดินทางท่องเที่ยวแล้ว ที่แรกที่เราจะไปเลยก็คือ “กาแฟบ้านพ่อ” กะว่าจะไปชิมกาแฟ ชมบรรยากาศชิว ๆ พอรู้ที่หมายแล้วก็ตรงดิ่งไปเลยครับ เปิด Google Maps ยาวๆ
พอไปถึงแล้วต้องผงะ เพราะมันเป็นป่าซะอย่างนั้นนน อึ้งไปเลยครับ พอไปถามคนท้องถิ่น เค้าก็บอกว่า อ๋อ ตอนนี้กาแฟบ้านพ่อย้ายที่ไปเปิดอีกที่นึงแล้ว ณ วันที่ผม Search ใน Google Maps นั้น สงสัยมันยังไม่ Update แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ผมก็เลยหาร้านกาแฟดื่มก่อน แถวๆ ที่หลงนั้นหละ ก็ไปจบที่ร้าน “Indy Cafe” ซึ่งเป็นอยู่เส้นทางหลัก ของเกาะ เลย พูดง่ายๆ ขับรถมอไซต์มา และทางขวา เจอ ที่ว่าการอำเภอเกาะกูด
เลยมาเพียงไม่ไกล และสังเกตทางขวาให้ดี ก็จะเจอร้าน Indy Cafe พอถึงร้านปั๊บผมก็ รีบสั่งกาแฟเลย เพราะอยากกินมาก และนั่งพักที่นี่สักแปบ เพื่อวางแผนการเดินทางว่าจะไปที่ไหนต่อดี เพราะก่อนมานี่แทบจะไม่ได้ วางแผนอะไรเลย อยากมาก็มา
โอเคและเราก็มาเริ่มวางแผนการเดินทางที่จะไปเที่ยวกันต่อ โดยการถาม คนในพื้นที่ ที่นั่งอยู่ แถวนั้น เราก็ได้รู้จนคนในพื้นที่คนนึงชื่อ “ช่างต้อ” แนะนำเราว่า จริงๆแล้วเกาะกูด มีที่เที่ยวเยอะมาก
มีน้ำตกเด็ดๆถึง 3 แห่ง ประกอบไปด้วย
- น้ำตกคลองยายกี๋
- น้ำตกห้วยน้ำเขียว
- น้ำตกคลองเจ้า
และยังบอกอีกว่า ถ้าเราต้องการเข้าไปถ่ายรูปที่รีสอร์ท ไหน และ หาดไหน ที่สวยๆ ก็สามารถเข้าไปถ่ายได้เลย เพราะ รีสอร์ทที่นี่เค้าเปิดถึงกันหมด
ช่างต้อยังบอกอีกว่า ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ และเลือกให้ไปน้ำตกได้ที่เดียว ก็ให้ไปน้ำตก “ห้วยน้ำเขียว” เพราะมันสวยมากก
แต่ประเด็นคือ แค่ถึงร้านกาแฟ Inde Cafe ก็ปาไปเที่ยงแล้ว หลังจากวางแผนการเดินทางเที่ยวต่อเสร็จ ก็หิวพอดี ก็เลยถามช่างต้อว่า มีร้านอาหารแนะนำสำหรับเที่ยงนี้ไหม และ มื้อดึกด้วย
ช่างต้อก็แนะนำมาทั้งหมด 2 ร้านด้วยกัน คือ
- ร้านกัปตันหน่อง (อ่าวสลัด)
- ร้านนุชชี่อาหารทะเล (บ้านอ่าวใหญ่)
หลังจากเรารู้มาดังนั้น มีหรือที่เราจะไม่ไป เราก็ดิ่งไปเลยครับ อ่าวสลัด เพื่อที่จะไปกินมื้อเที่ยงที่ร้าน กัปตันหน่อง
ระหว่างทางก็ทำให้เราได้รู้ว่าเห้ย ไออ่าวสลัดเนี้ย มันคือที่ ที่เราลงเรือมาเลยนี่หว่า คือโคตรไกล แต่ ไหนๆก็ขับรถมาไกลแล้ว และจะถึงแล้ว ก็เลยลุยต่อ
แต่ผมจะบอกว่า ไม่ว่าร้านอาหารจะอยู่ไหน หรือ รีสอร์ทจะอยู่ที่ไหน ถ้าเรารู้เพียงแค่ชื่ออ่าวเราก็สามารถที่จะดูป้ายบนเกาะกูด และ เดินทางไปได้แบบสบายๆ ไม่ต้องกลัวหลง
และเราก็มาถึงจนได้ กับร้าน “กัปตันหน่อง”
ข้างในร้านก็มีเมนูอาหารมากมาย แถมบรรยากาศดีมากอีกด้วย เราจะเห็น ทะเลของรอบๆของเกาะกูดเป็น แนวกว้างมาก ระหว่างรับประทานอาหารก็ จะเห็นเรือแล่นผ่าน สวยครับ
โดยอาหารนั้นก็ไม่ได้แย่เลย มีให้เลือกเยอะมาก มาก มาก
เอาเป็นว่าดูแค่นี้พอละกัน และ สุดท้ายผมก็เลือก ผัดไท
อิ่มท้องพร้อมกับวิวสวยๆ เราก็พร้อมที่จะเดินทางไปยัง “น้ำตกห้วยน้ำเขียว” ที่เค้าว่ากันว่า ปกติแล้วคนไม่ค่อยไปกัน แต่เราจะไป เพราะมันน่าจะสวยตามที่คนท้องถิ่นได้บอกเอาไว้
เอาหละเดินทางต่อครับ ระหว่างที่เราเดินทางไป น้ำตกห้วยน้ำเขียวนั้น ก็จะมีป้ายบอกทางตลอด โดยเราจะตามป้าย ที่เขียนว่า “มะค่ายักษ์-ไทรใหญ่” และเราก็ตามป้ายนั้นไปเลย
เมื่อเดินทางเข้ามาเรื่อย ๆ ก็จะพบกับ ทางธรรมชาติ ที่ร่มเย็นมาก สวยมาก แต่ขับมอไซต์ยากมากเช่นกัน และ กว่าจะเข้าไปถึงก็ใช้เวลาสักพักเลย
ตรงกลางทางก่อนถึงน้ำตก ห้วยน้ำเขียวก็เจอ “ต้นมะค่า” ซึ่งใหญ่มาก เราสามารถจอดรถและแวะลงไปดูได้
และในที่สุดเราก็เข้ามาถึงสักที เมื่อถึงแล้ว เราก็ต้องค่อยๆ เดินลงเขามาเล็กน้อยเพื่อที่จะเจอกับน้ำตกห้วยน้ำเขียว และเราสามารถปีนขึ้นไปเล่นบนน้ำตกได้ น้ำใสสวยเลยครับ
น้ำตกที่ไหลผ่านก็เย็นชื่นใจ แต่ผมปีนลงมาแค่ เอาเท้าแหย่ลงไปในน้ำเท่านั้น ไม่ได้ถอดเสื้อลงไปเล่นแบบจริงจัง เพราะ ตอนนั้นรู้สึกมีอาการปวดหัว เลยอยากจะกลับที่พักละ
หลังจากปีนกลับขึ้นมา ดูเวลาอีกที่ก็ปาไปจะ 17.00 น. แล้ว และจากตรงนี้ก็ไกลจากที่พักมาก พอสมควรเพราะอยู่ประมาณกลางเกาะ ประเด็นคือ ได้จองร้านอาหาร “นุชชี่ซีฟู๊ด” ไว้ด้วย ประมาณ 1 ทุ่ม
แต่ก็ยังมิวาย แวะรีสอร์ทอื่น เก็บบรรยากาศมาฝากเล็กน้อย
จริงๆ เกาะกูด มีกิจกรรมพายเรือแคนูด้วยแต่ว่า แต่ที่อ่าวพร้าวบีชรีสอร์ทก็สามารถพายเรือแคนูได้ ถ้าไม่มีคลื่นลมแรง ครับ
ระหว่างทางขับไปร้านอาหาร ท้องฟ้าก็ได้มืดลงเรื่อยๆ และเรื่อยๆ และเรื่อยๆ และมืดสนิทเส้นทางก่อนถึงร้านอาหารนั้นแทบจะไม่มีแสงไฟ และแล้วเราก็มาถึงร้านนุชชี่
คืออยากบอกว่าร้านนี้คือร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำมา และบอกว่าเด็ดมากเรื่องอาหารทะเล คือพูดง่ายๆ ก็อย่างว่า
10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น 10 ตาเห็นไม่เท่ามือคลำ 10 มือคลำไม่เท่าลิ้มลอง
เครครับเมื่อเข้ามาถึงร้าน ก็สั่งเลย อยากกินอะไรก็สั่งโดยผมก็ ได้สั่ง กุ้งอบเกลือ กั้งทอดกระเทียม หอยเชลล์อบเนย หอยนางรม ไก่ทอดน้ำปลา ข้าวผัดรวมมิตรทะเล คือแค่นี้ก็คิดว่ากินไม่หมดละ 555
ต้องบอกว่าร้านนุชชี่น่าจะเป็นหนึ่งในร้านอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อที่เกาะกูด เพราะจากการลองรับประทานตามเมนูที่เห็นไปก็จะรู้สึกได้ว่า มันอร่อยมาก
โดยพระเอกของการกินอาหารซีฟู๊ดเนี้ย ก็คือน้ำจิ้มของมันเลย ซึ่งทางร้านก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมและอร่อยมาก
คืออร่อยทุกอย่างที่สั่งมา คงอาจจะไม่ใช่เพราะความหิวอย่างเดียว ที่ทำให้มันอร่อยแต่เป็นเพราะมันอร่อยจริงๆ ถ้าได้มาลองก็ไม่ผิดหวังแน่นอน
ถ้ามาในวันหยุดยาวหรือเสาร์อาทิตย์ ไม่แน่ใจว่าถ้าไม่จองไว้ก่อนคนจะเยอะหรือเปล่า เพราะตอนที่ผมมาในวันหยุดยาว
ของต่างๆ บางอย่างก็หมด เช่นปูนึ่ง หอยแคลง หรือ แม้กะทั้งเมนูที่คนท้องถิ่นบอกว่าเด็ดมากเลยก็คือ เมนู “หอยเงาะดิบ วาซาบิ” ถ้าใครได้ลองแล้วก็ลองบอกมาหน่อยนะครับว่ามันเด็ดขนาดไหน เพราะช่วงที่ผมไปเป็นหน้าฝนมันจะไม่มี
หลังจากกินเสร็จผมก็กำลังจะกลับ แต่ผมเป็นคนสุดท้ายของร้าน คืออยากจะแนะนำว่าถ้าจะมาร้านนี้ไม่ควรที่จะมากินตอนเย็นเพราะ ตอนผมออกจากร้านนี้และกลับไปที่พักนั้น ก็ประมาณ 22.00 น.
พอออกมาทางนี่มืดสนิทและน่ากลัวมาก ถ้าเราไม่ใช่คนท้องที่และไม่ชินทาง ขับมอไซไม่แข็ง อาจจะเกิดอันตรายกับเราได้ แนะนำให้มาตอนกลางวัน คาดว่าจะเห็นวิวที่สวยงาม พร้อมกันทานอาหารซีฟู๊ด อร่อย ๆ แน่นอน
และแล้ว Blog แรกของการท่องเที่ยวของผมก็จบลงเพียงเท่านี้และเจอกันใหม่ Blog หน้านะครับ
อันนี้เสริม คือ ที่เกาะกูดมี ATM มากมายนะครับไม่ต้องกังวล
ละเอียดดีจัง อาจจะครบครัน แต่เยอะไปนิดล่ะ ทำเป็นตอนๆ ก็ดีจ้ะ เพราะอ่านตอนแรกๆก็สนุก พอเยอะไปเลยอ่านข้ามๆ
เดี๋ยวครั้งหน้าจะทำให้กระชับกว่าเดิมครับพี่ติ่ง ขอบคุณครับผม 😀